เขื่อนขนาดใหญ่ 35 แห่งทั่วประเทศ
รายงานสถานการณ์ปริมาณน้ำเก็บกัก ปริมาณน้ำไหลเข้าและปริมาณน้ำระบายของแต่ละเขื่อนจากกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย

ปี 2565 เขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่งทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมรวมกันทั้งปี 54,054 ล้านลูกบาศก์เมตร มากที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี และมีการระบายน้ำออกไปค่อนข้างมากเช่นกัน โดยระบายไปถึง 45,020

ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2561 แต่เป็นปริมาณน้ำระบายที่น้อยกว่าปริมาณน้ำไหลเข้า ทำให้ปริมาณน้ำกักเก็บ ณ วันสิ้นปีเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเป็น 56,996 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 80% ของความจุเขื่อน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำมาก

โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 33,459 ล้านลูกบาศก์เมตร หากเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี ( 2556-2565) พบว่าปี 2565 มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2560

ปริมาณน้ำกักเก็บและปริมาณน้ำใช้การได้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม                                               ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมทั้งปีและปริมาณน้ำระบายสะสมทั้งปี
   หมายเหตุ :
   1. ข้อมูลจากกรมชลประทาน
   2. เกณฑ์ปริมาณน้ำกักเก็บ >100% = เกินความจุเก็บกัก , >80-100% = น้ำมาก , > 50-80% = น้ำปานกลาง , >30-50% = น้ำน้อย , <= 30% = น้ำน้อยวิกฤต


เนื่องจากปี 2565 มีฝนตกมากกว่าเกณฑ์ปกติในทุกภาค ส่งผลทำให้มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนขนาดใหญ่ในแต่ละภาคมีค่อนข้างมากตามไปด้วย โดยภาคเหนือมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนทั้งปีสูงถึง 18,541 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับ

ข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนทั้งปี 12,071 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2560 ภาคกลางมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนทั้งปี 14,967 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 3 รองจากปี 2564

และ 2561 ภาคตะวันออกมีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนทั้งปี 1,763 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2561 ภาคใต้มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนทั้งปี 6,713 ล้านลูกบาศก์เมตร มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 รองจากปี 2561 และ 2564

ปริมาณน้ำไหลลงสะสมทั้งปี

เนื่องจากช่วงต้นปี 2565 เขื่อนขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำกักเก็บรวมกันสูงถึง 75% ของความจุ ประกอบกับระหว่างปีมีฝนค่อนข้างมากทำให้มีน้ำไหลเข้าเขื่อนค่อนข้างมาก ทำให้ต้องระบายน้ำออกจากเขื่อนค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน โดยภาคเหนือมีปริมาณน้ำระบายรวมทั้งปี 11,609 ล้านลูกบาศก์เมตร

มากเป็นอันดับ 4 รองจากปี 2561 2562 และ 2560 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีปริมาณน้ำระบายรวมทั้งปี 9,596 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2560 ภาคตะวันออกมีปริมาณน้ำระบายรวมทั้งปี 1,374 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็น

อันดับที่ 2 รองจากปี 2561 ภาคกลางมีปริมาณน้ำระบายรวมทั้งปี 15,284 ล้านลูกบาศก์เมตร มากที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี ภาคใต้มีปริมาณน้ำระบายรวมทั้งปี 7,157 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2561

ปริมาณน้ำระบายสะสมทั้งปี


ถึงแม้จะมีการระบายน้ำออกไปค่อนข้างมาก แต่เกือบทุกภาคยังคงมีปริมาณน้ำเก็บคงเหลือสิ้นปีอยู่ในเกณฑ์น้ำมาก (มากกว่า 80% ของความจุเขื่อน) ยกเว้นภาคใต้ที่อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง อีกทั้งปีนี้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกมีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือสิ้นปีมากที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี รายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้

ภาคเหนือ มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือสิ้นปี 19,991 ล้านลูกบาศก์เมตร (81% ของความจุเขื่อน) อยู่ในเกณฑ์น้ำมาก โดยมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2560 ทั้งนี้เป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 13,246 ล้านลูกบาศก์เมตร

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 6,981 ล้านลูกบาศก์เมตร (83% ของความจุเขื่อน) อยู่ในเกณฑ์น้ำมาก โดยมากที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี ทั้งนี้เป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 5,331 ล้านลูกบาศก์เมตร

ภาคกลาง มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 22,987 ล้านลูกบาศก์เมตร (82% ของความจุเขื่อน) อยู่ในเกณฑ์น้ำมาก ทั้งนี้เป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 9,650 ล้านลูกบาศก์เมตร

ภาคตะวันออก มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 1,307 ล้านลูกบาศก์เมตร (86% ของความจุเขื่อน) อยู่ในเกณฑ์น้ำมาก โดยมากที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี ทั้งนี้เป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 1,213 ล้านลูกบาศก์เมตร

ภาคใต้ มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 5,730 ล้านลูกบาศก์เมตร (70% ของความจุเขื่อน) อยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง ทั้งนี้เป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 4,020 ล้านลูกบาศก์เมตร


ปริมาณน้ำกักเก็บ ณ วันสิ้นปี


ปริมาณน้ำใช้การได้ ณ วันสิ้นปี




หมายเหตุ :
  • ความจุเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 อ่างรวม 70,926 ล้านลูกบาศก์เมตร (อ้างอิงปี 2565)
  • ใช้ข้อมูลเขื่อนขนาดใหญ่รายงานโดยกรมชลประทาน
  • ภาคเหนือมีเขื่อนขนาดใหญ่ 8 แห่ง ได้แก่ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ เขื่อนแม่งัด จ.เชียงใหม่ เขื่อนกิ่วลม จ.ลำปาง เขื่อนแม่กวง จ.เชียงใหม่ เขื่อนกิ่วคอหมา จ.ลำปาง เขื่อนแควน้อย จ.พิษณุโลก และเขื่อนแม่มอก จ.ลำปาง
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเขื่อนขนาดใหญ่ 12 แห่ง ได้แก่ เขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา เขื่อนลำพระเพลิง จ.นครราชสีมา เขื่อนน้ำอูน จ.สกลนคร เขื่อนอุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี เขื่อนจุฬาภรณ์ จ.ชัยภูมิ เขื่อนห้วยหลวง จ.อุดรธานี เขื่อนลำนางรอง จ.บุรีรัมย์ เขื่อนมูลบน จ.นครราชสีมา เขื่อนน้ำพุง จ.สกลนคร และเขื่อนลำแซะ จ.นครราชสีมา
  • ภาคกลางมีเขื่อนขนาดใหญ่ 5 แห่ง ได้แก่ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี เขื่อนกระเสียว จ.สุพรรณบุรี และเขื่อนทับเสลา จ.อุทัยธานี เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี
  • ภาคตะวันออกมีเขื่อนขนาดใหญ่ 6 แห่ง ได้แก่ เขื่อนบางพระ จ.ชลบุรี เขื่อนหนองปลาไหล จ.ระยอง เขื่อนคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก เขื่อนประแสร์ จ.ระยอง และเขื่อนนฤบดินทรจินดา จ.ปราจีนบุรี
  • ภาคใต้มีเขื่อนขนาดใญ่ 4 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เขื่อนปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เขื่อนรัชชประภา จ.สุราษฎร์ธานี และเขื่อนบางลาง จ.ยะลา


  • หากแบ่งเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่ง ที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 ออกเป็นกลุ่มตามเกณฑ์ปริมาณน้ำกักเก็บของกรมชลประทาน สามารถแบ่งได้ดังนี้

    เขื่อนที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือเกินความจุเขื่อน (มากกว่า 100% ของความจุเขื่อน มี 4 แห่ง ได้แก่ เขื่อนกิ่วคอหมา (111.02%) เขื่อนลำตะคอง (108.13%) เขื่อนหนองปลาไหล [104.36%) เขื่อนแม่งัด [ 103.52%]

    เขื่อนที่มีปริมาณน้ำเก็บกักคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำมาก (มากกว่า 80-100% ของความจุเขื่อน) มีทั้งหมด 23 แห่ง ได้แก่ เขื่อนกระเสียว [99.44%] เขื่อนกิ่วลม [98.00%] เขื่อนแม่กวง [94.91%] เขื่อนมูลบน [94.33%] เขื่อนลำพระเพลิง [93.78%] เขื่อนลำแซะ [93.76%]

    เขื่อนลำนางรอง [93.21%] เขื่อนบางพระ [92.78%] เขื่อนขุนด่านปราการชล [91.98%] เขื่อนประแสร์ [91.08%] เขื่อนศรีนครินทร์ [89.21%] เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ [88.70%] เขื่อนภูมิพล [88.44%] เขื่อนจุฬาภรณ์ [87.90%] เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน [87.00%] เขื่อนลำปาว [85.86%] เขื่อนนฤบดินทรจินดา [85.60%] เขื่อนแม่มอก [84.85%] เขื่อนบางลาง [84.83%] เขื่อนสิรินธร [82.71%] เขื่อนทับเสลา [82.19%] เขื่อนอุบลรัตน์ [81.68%] เขื่อนห้วยหลวง [81.63%]

    เขื่อนที่มีปริมาณน้ำเก็บกักคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง (มากกว่า 50-80% ของความจุเขื่อน) มีทั้งหมด 8 แห่ง ได้แก่ เขื่อนคลองสียัด [71.52%] เขื่อนแก่งกระจาน [69.48%] เขื่อนสิริกิติ์ [66.86%]

    เขื่อนรัชชประภา [66.57%] เขื่อนวชิราลงกรณ [66.34%] เขื่อนน้ำอูน [65.03%] เขื่อนปราณบุรี [63.76%] เขื่อนน้ำพุง [52.98%]

    เขื่อนที่มีปริมาณน้ำเก็บกักคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย (ตั้งแต่ 30-50% ของความจุเขื่อน) ปี 2565 ไม่มีเขื่อนใดที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้อย

    เขื่อนที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยวิกฤต (น้อยกว่า 30% ของความจุเขื่อน) ปี 2565 ไม่มีเขื่อนใดที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือน้อยกว่า 30% ของความจุเขื่อน

    ปริมาณน้ำกักเก็บ วันที่ 31 ธันวาคม 2565



    สถานการณ์น้ำที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2565 ส่งผลทำให้น้ำต้นทุนของเขื่อนขนาดใหญ่สำหรับใช้ในปี 2566 มีค่อนข้างมาก โดยในช่วงปลายปี มีเขื่อนที่ปริมาณน้ำกักเก็บเกินความจุอยู่ 4 แห่ง เขื่อนที่มีปริมาณน้ำ

    กักเก็บอยู่ในเกณฑ์น้ำมากสูงถึง 23 แห่ง เกณฑ์น้ำปานกลางอีก 8 แห่ง และไม่มีเขื่อนใดเลยที่มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยและน้ำน้อยวิกฤต เนื่องจากเกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ ส่งผล

    ทำให้มีน้ำไหลลงเขื่อนค่อนข้างมาก จนทำให้บางเขื่อนประสบกับสถานการณ์น้ำที่ต่างไปจากปกติที่เคยเป็น รวมถึงมีตัวเลขปริมาณน้ำที่ทำลายสถิติในหลายเขื่อน ดังรายละเอียดต่อไปนี้


    เขื่อนกิ่วคอหมา - มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมและปริมาณน้ำระบายสะสมของปี 2565 มากที่สุดตั้งแต่มีการสร้างเขื่อน



    เขื่อนแม่มอก - เกิดสถานการณ์น้ำล้น spillway ขึ้นในปี 2564 ต่อมาในปี 2565 ได้เกิดน้ำล้นขึ้นอีกครั้งซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงบริเวณจังหวัดสุโขทัยและพื้นที่ใกล้เคียงในช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม 2565

    กราฟแสดงปริมาณน้ำกักเก็บในเขื่อนรายวันของเขื่อนแม่มอก


    ภาพน้ำล้น spillway เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2564 [ข่าวผู้จัดการออนไลน์]


    ภาพน้ำล้น spillway เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 [ข่าวเนชั่นออนไลน์]


    เขื่อนกระเสียว - เกิดสถานการณ์น้ำล้นเขื่อนขึ้นในปี 2564 ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ผิดปกติ เนื่องจากเขื่อนนี้มักเผชิญกับปัญหาน้ำน้อย และไม่เคยเกิดสถานการณ์น้ำล้นเขื่อนมาเป็นระยะเวลายาวนานจนมีต้นไม้ขึ้นบริเวณทางน้ำท้ายเขื่อนเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 2565 กลับเกิดน้ำล้นเขื่อนขึ้นอีกครั้ง

    กราฟแสดงปริมาณน้ำกักเก็บในเขื่อนรายวันของเขื่อนกระเสียว


    ภาพน้ำล้นเขื่อนกระเสียว เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 [ข่าวไทยพีบีเอส]


    ภาพน้ำล้นเขื่อนกระเสียว วันที่ 5 ตุลาคม 2565 [ข่าวมติชนออนไลน์]


    เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ - มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมทั้งปีมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2554 ที่เกิดมหาอุทกภัย

    กราฟแสดงปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมทั้งปีของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์


    เขื่อนอุบลรัตน์ - มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมทั้งปีมากกว่าปี 2554 แต่น้อยกว่าปี 2560 ทั้งนี้ ปีนี้มีการระบายน้ำมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2521 หากเทียบข้อมูลในช่วงตั้งแต่ปี 2512-2565