พายุที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย

ปี 2563 มีพายุเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยจำนวน 3 ลูก ประกอบด้วย 1) พายุโซนร้อน “ซินลากู” (SINLAKU) ที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดน่าน ในขณะที่มีกำลังแรงอยู่ในระดับพายุดีเปรสชัน ส่งผลทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ของภาคเหนือและบางพื้นที่ของภาค

ตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2) พายุโซนร้อน “โนอึล” (NOUL) ซึ่งเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดมุกดาหาร ในขณะที่มีกำลังแรงอยู่ในระดับพายุโซนร้อน ส่งผลทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือในช่วงต้นเดือน

กลางเดือนกันยายน 3) พายุไต้ฝุ่น “โมลาเบ” (MOLAVE) ที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี ในขณะที่มีกำลังแรงอยู่ในระดับพายุดีเปรสชัน ส่งผลทำให้มีฝนตกเพิ่มมากขึ้นทางตอนล่างของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงปลายเดือนตุลาคม


พายุโซนร้อน “ซินลากู” (SINLAKU)
ได้เริ่มก่อตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ซึ่งต่อมาในช่วงเช้าของวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 ได้ทวีกำลังแรงเป็นพายุดีเปรสชันแต่ยังคงเคลื่อนตัวอยู่บริเวณทะเลจีนใต้ ต่อมาในช่วงเย็นของวันที่ 1 สิงหาคม 2563 เวลาประมาณ 16.00 น. พายุดังกล่าวได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนแล้วเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ยในเวลาประมาณ 23.00 น. ซึ่งในช่วงคืนวันที่ 1

สิงหาคม 2563 จนถึงเช้าของวันที่ 2 สิงหาคม 2563 พายุดังกล่าวเริ่มส่งผลทำให้เกิดฝนตกเพิ่มมากขึ้นบริเวณตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเลย ที่เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 2 สิงหาคม 2563 เวลาประมาณ 10.00 น. พายุได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองทันหวา ประเทศเวียดนาม ในขณะที่ยังคงมีกำลังแรงอยู่ในระดับพายุโซนร้อน และในช่วงดึกของวันเดียวกัน เวลาประมาณ 22.00 น. พายุดังกล่าวได้

เคลื่อนตัวเข้าสู่เมืองหัวพันประเทศลาว พร้อมลดกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน ซึ่งต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 3 สิงหาคม เวลาประมาณ 04.00 น. ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย บริเวณ อ.ปัว จ.น่าน ในขณะที่ยังคงมีกำลังแรงเป็นพายุดีเปรสชัน แต่พายุดังกล่าวได้สลายตัวไปอย่างรวดเร็วในเวลา 07.00 น. โดยหย่อมความกดอากาศต่ำที่สลายตัวจากพายุดังกล่าวได้แผ่ปกคลุมในหลายพื้นที่ของภาคเหนือส่งผลทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่


พายุโซนร้อน “โนอึล” (NOUL)
ได้เริ่มก่อตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 2563 หลังจากนั้นได้เคลื่อนตัวผ่านประเทศฟิลิปปินส์ลงทะเลจีนใต้แล้วเพิ่มกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันในช่วงค่ำของวันที่ 15 กันยายน 2563 หลังจากนั้นได้ทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อนพร้อมเคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก่อนเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 18

กันยายน 2563 หลังจากนั้นได้เคลื่อนตัวผ่านประเทศลาวเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณจังหวัดมุกดาหารในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ก่อนเคลื่อนตัวผ่านจังหวัดอำนาจเจริญและจังหวัดร้อยเอ็ดในขณะที่ยังเป็นพายุโซนร้อน ต่อมาในวันที่ 19 กันยายน 2563 เวลาประมาณ 01.00 น. พายุดังกล่าวได้ลดกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันบริเวณจังหวัดขอนแก่น ก่อนเคลื่อนตัวไปยังบริเวณจังหวัดเพชรบูรณ์ เวลา 07.00 น. แล้วสลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ

ปกคลุมบริเวณจังหวัดพิษณุโลกและพื้นที่ใกล้เคียง ในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน ส่งผลทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำไหลหลากในหลายพื้นที่โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือที่ได้รับอิทธิพลจากพายุโดยตรง นอกจากนี้อิทธิพลของพายุยังส่งผลทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้นด้วย ส่งผลทำให้ด้านรับลมของประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นในบางพื้นที่ ทั้งทางด้านตะวันตกของประเทศ ภาคใต้ และภาคตะวันออก


พายุไต้ฝุ่น “โมลาเบ” (MOLAVE)
ได้เริ่มก่อตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2563 หลังจากนั้นได้เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือแล้วเพิ่มกำลังแรงเป็นพายุดีเปรสชันในวันที่ 24 ตุลาคม 2563 ต่อมาในวันที่ 25 ตุลาคม 2563 พายุดังกล่าวได้เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตกพร้อมกับเพิ่มกำลังแรงเป็นพายุโซนร้อนแล้วเพิ่มกำลังแรงขึ้นต่อเนื่องเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 1 ในระหว่างที่เคลื่อนตัวผ่านตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์ ก่อนเคลื่อนตัวลงทะเลจีนใต้ในวันที่ 26 ตุลาคม 2563

แล้วเพิ่มกำลังแรงขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 2 ในวันเดียวกัน ต่อมาในวันที่ 27 ตุลาคม 2563 พายุโมลาเบได้เพิ่มกำลังขึ้นเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 3 แล้วลดกำลังลงเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 2 และระดับ 1 ในวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ก่อนเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณเมืองกวางงาย ประเทศเวียดนาม ในเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันเดียวกัน แล้วลดกำลังลงต่อเนื่องเป็นพายุโซนร้อนในเวลาประมาณ 16.00 น. ขณะที่เคลื่อนตัวอยู่บริเวณเมืองกวางนาม ประเทศเวียดนาม หลังจากนั้นได้เคลื่อนตัวต่อเนื่องผ่านเมืองเซกอง ประเทศลาว เวลาประมาณ 21.00

น. ในขณะที่ยังอยู่ระดับพายุโซนร้อน ต่อมาในวันที่ 29 ตุลาคม 2563 เวลา 02.00 น. พายุดังกล่าวได้ลดกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชัน ในระหว่างเคลื่อนตัวเข้าประเทศไทยบริเวณตำบลสะพือ อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี หลังจากนั้นได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันที่ 30 ตุลาคม 2563 ซึ่งส่งผลทำให้ในหลายพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออกมีฝนเพิ่มมากขึ้น


นอกจากพายุทั้ง 3 ลูกที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุอีก 9 ลูก ที่ถึงแม้จะไม่ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย แต่พายุดังกล่าวได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำก่อนเคลื่อนเข้าปกคลุมบริเวณประเทศไทยหรืออ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลทำให้ประเทศไทยมีปริมาณฝนเพิ่มมากขึ้น โดยพายุทั้ง 9 ลูก ประกอบด้วย
1) พายุดีเปรสชัน 02 (Depression-02) ที่สลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ก่อนเคลื่อนตัวผ่านจังหวัดเพชรบุรี ในช่วงต้นเดือนตุลาคม

2) พายุโซนร้อน “หลิ่นฟา” (LINFA) ที่สลายตัวไปบริเวณประเทศลาวช่วงต้นเดือนตุลาคม
3) พายุดีเปรสชัน (Depression) ที่สลายตัวไปบริเวณประเทศกัมพูชาเมื่อช่วงกลางเดือนตุลาคม
4) พายุโซนร้อน “นังกา” (NANGKA) ที่สลายตัวไปบริเวณประเทศลาวเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม
5) พายุไต้ฝุ่น “เซาเดล” (SAUDEL) ที่สลายตัวไปบริเวณประเทศเวียดนามเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม

6) พายุไต้ฝุ่น “โคนี” (GONI) ที่สลายตัวไปบริเวณประเทศลาวช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
7) พายุโซนร้อน “เอตาว” (ETAU) ที่สลายตัวไปบริเวณประเทศกัมพูชาเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
8) พายุไต้ฝุ่น “หว่ามกว๋อ” (VAMCO) ที่สลายตัวไปบริเวณประเทศลาวเมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน
9) พายุดีโซนร้อน “กรอวาญ” (KROVANH) ที่สลายตัวเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ก่อนเคลื่อนตัวผ่านจังหวัดชุมพร ในช่วงปลายเดือนธันวาคม


นอกจากนี้ ยังมีพายุลูกอื่น ๆ ที่เคลื่อนเข้ามาสู่บริเวณทะเลจีนใต้ ซึ่งส่งผลต่อสภาพอากาศบริเวณที่พายุเคลื่อนตัวผ่าน แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย ประกอบด้วย
1) พายุไต้ฝุ่น “หว่องฟ้ง” (VONGFONG) ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม

2) พายุโซนร้อน “นูรี” (NURI) ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายน
3) พายุไต้ฝุ่น “เมขลา” (MEKKHALA) ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคม
4) พายุโซนร้อน “ฮีโกส” (HIGOS) ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนสิงหาคม

5) พายุโซนร้อน “อัสนี” (ATSANI) ที่เกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน



แผนภาพแสดงช่วงเวลาที่เกิดพายุแต่ละลูกในปี 2563 (เฉพาะพายุที่ส่งผลกระทบกับประเทศไทยรวมถึงพายุที่เคลื่อนเข้ามาสู่บริเวณทะเลจีนใต้)



หากเปรียบเทียบจำนวนพายุในปี 2563 กับสถิติพายุหมุนเขตร้อนที่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยในรอบ 70 ปี (2494-2563) จะเห็นได้ว่า ปี 2563 มีพายุเคลื่อนเข้ามาในประเทศไทย 3 ลูก เท่ากับค่าเฉลี่ย นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2540 พายุที่เคลื่อนตัวเข้ามายังประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย โดยมีปีที่จำนวนพายุเท่ากับ

ค่าเฉลี่ยเพียง 6 ปี เท่านั้น และหากพิจารณาข้อมูลเป็นรายเดือน พบว่า เดือนที่มีพายุเคลื่อนเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุดคือ เดือนตุลาคม ซึ่งมีพายุที่เคลื่อนเข้ามาทั้งหมด 56 ลูก รองลงมาคือ เดือนกันยายนและเดือนพฤศจิกายน โดยมีจำนวนพายุที่เคลื่อนเข้ามาทั้งหมด 52 และ 31 ลูก ตามลำดับ ทั้งนี้พายุที่เคลื่อนตัวเข้ามาใน

ประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับดีเปรสชัน ซึ่งมีเคลื่อนเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมดถึง 185 ลูก ต่างจากพายุโซนร้อนที่มีเคลื่อนเข้ามาเพียง 18 ลูกเท่านั้น นอกจากนี้ พายุ “เกย์” ยังคงเป็นพายุเพียงลูกเดียวในรอบ 70 ปี ที่เคลื่อนเข้ามาในประเทศไทยในขณะที่ความแรงยังอยู่ในระดับพายุไต้ฝุ่น