ในปี 2564 เขื่อนหลักทั้ง 4 แห่งของลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนรวมกัน 13,730 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 5,154 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือเป็นปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนที่ค่อนข้างมาก

โดยมากเป็นอันดับที่ 4 รองจากปี 2560 2561 และ 2559 หากเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี แต่ก็มีการระบายออกไปมากเช่นกัน โดยระบายออกไปถึง 10,623 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ทั้งนี้ปริมาณน้ำ

กักเก็บคงเหลือสิ้นปียังคงมีเหลืออยู่ค่อนข้างมากหากเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี โดยเหลืออยู่ประมาณ 14,104 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นน้ำใช้การได้จริง 7,408 ล้านลูกบาศก์เมตร

วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 7,996 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 59% ของความจุเขื่อน อยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง โดยเป็นน้ำใช้การได้จริง 4,196 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 2,518 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนปริมาณน้ำไหลเข้าสะสมทั้งปีมี 5,254 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 1,732 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ยังคงน้อยกว่าค่า

เฉลี่ยอยู่เล็กน้อยและจะเห็นได้ว่าเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมา มีปี 2560 เพียงปีเดียวเท่านั้นที่ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนมากกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งนี้มีการระบายน้ำรวมทั้งปี 2,325 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วอยู่เล็กน้อย แต่เป็นการระบายน้ำที่น้อยกว่าปริมาณน้ำไหลเข้าถึง 2,929 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งหมายถึงสามารถเก็บน้ำได้เพิ่มมาก

ขึ้นเพื่อใช้เป็นต้นทุนของปี 2565 และเมื่อเปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี จะเห็นได้ว่าเขื่อนภูมิพลมีการระบายน้ำมากกว่าค่าเฉลี่ยเพียง 2 ปี เท่านั้น คือปี 2555 และปี 2561 ทั้งนี้ในปี 2564 สถานการณ์น้ำโดยภาพรวมของเขื่อนภูมิพลดีกว่าปี 2563 ที่ช่วงปลายปีมีน้ำกักเก็บคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย

วันที่ 31 ธันวาคม 2564 เขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 4,385 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 46% ของความจุเขื่อน อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย เป็นน้ำใช้การได้จริงเพียง 1,535 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยกว่าปีที่แล้ว 946 ล้านลูกบาศก์เมตร และน้อยกว่าปี 2558 ที่เกิดภัยแล้งรุนแรง 361 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ

ข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี ส่วนปริมาณน้ำไหลเข้าสะสมทั้งปีมี 3,541 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยกว่าปีที่แล้ว 1,032 ล้านลูกบาศก์เมตร และเป็นปริมาณน้ำไหลลงทั้งปีที่น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 23 ปี ทั้งนี้มีการระบายน้ำทั้งปี 4,245 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าปีที่แล้ว 432 ล้านลูกบาศก์เมตร และเป็นการระบายน้ำที่

มากกว่าปริมาณน้ำไหลเข้า ซึ่งหมายถึงมีการนำปริมาณน้ำคงเหลือจากปี 2553 ออกมาใช้ 704 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งส่งผลทำให้น้ำต้นทุนสำหรับนำไปใช้ในปี 2565 มีค่อนข้างน้อย ทั้งนี้ในปี 2564 สถานการณ์น้ำโดยภาพรวมของเขื่อนสิริกิติ์ไม่ดีเท่ากับปี 2563 ที่ช่วงปลายปีมีน้ำกักเก็บคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง

ปี 2564 เขื่อนแควน้อยมีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ ณ วันสิ้นปี 861 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 92% ของความจุเขื่อน อยู่ในเกณฑ์น้ำมาก เป็นน้ำใช้การได้จริง 818 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 452 ล้านลูกบาศก์เมตร มากที่สุดถ้าเทียบกับ

ข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี รวมถึงมากกว่าปี 2554 ที่เกิดอุทกภัยรุนแรง โดยตลอดปีมีน้ำไหลลงเขื่อนรวมทั้งสิ้น 1,574 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2560 ถ้าเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี แต่น้อยกว่าปี 2554 ค่อนข้างมาก และมี

การระบายน้ำตลอดปีรวมทั้งสิ้น 1,090 ล้านลูกบาศก์เมตร มากกว่าปีที่แล้ว 446 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งนี้ สถานการณ์น้ำโดยภาพรวมของเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ในปี 2564 ดีกว่าปี 2563 ที่ช่วงปลายปีมีน้ำกักเก็บคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย

ปี 2564 เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ ณ วันสิ้นปี 862 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 90% ของความจุเขื่อน อยู่ในเกณฑ์น้ำมาก เป็นน้ำใช้การได้จริง 859 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี รวมถึงมากกว่าปี 2554 ที่เกิดอุทกภัยรุนแรง แต่น้อยกว่า

ปี 2549 ที่เกิดอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา โดยปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 203 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีปริมาณน้ำไหลเข้าสะสมทั้งปี 3,361 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2560 หากเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี แต่น้อยกว่าปี 2554 ค่อนข้างมาก

ทั้งนี้มีการระบายน้ำรวมทั้งปี 2,962 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2560 ทั้งนี้สถานการณ์น้ำโดยภาพรวมของเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ในปี 2564 มีน้ำค่อนข้างมาก ต่างจากปี 2563 ที่มีน้ำน้อย