ปี 2566 เขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่งทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนสะสมรวมกันทั้งปี 40,980 ล้านลูกบาศก์เมตร ลดลงจากปีที่แล้วมากถึง 13,074 ล้านลูกบาศก์เมตร (เกือบเท่าความจุของเขื่อนภูมิพล) แต่ยังถือเป็นปริมาณน้ำไหลลงสะสมที่ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10
ปีและมีการระบายน้ำออกไปมากปถึง 38,193 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 4 รองจากปี 2561 ปี 2565 และปี 2560 ทั้งนี้ ณ วันสิ้นปี ปริมาณน้ำกักเก็บของทั้ง 35 เขื่อน เหลืออยู่ 54,621 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 77% ของความจุเขื่อน อยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง ซึ่งลงลงจากปีที่แล้ว
เล็กน้อย โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 31,084 ล้านลูกบาศก์เมตร หากเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี ( 2557-2566) พบว่าปี 2566 มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือมากเป็นอันดับที่ 3 รองจากปี 2560 และ 2565
เนื่องจากปี 2566 มีปริมาณฝนทั้งประเทศลดลงจากปี 2565 ค่อนข้างมากในทุกภาค ส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนแต่ละภาคลดลงไปด้วย ทำให้ต้องลดการระบายน้ำลงไปด้วย ยกเว้นภาคเหนือที่มีการระบายน้ำ
มากขึ้น โดยมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2561 หากเทียบกับข้อมูลในรอบ 10 ปี ซึ่งถึงแม้ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนจะลดน้อยลง แต่เนื่องจากในช่วงต้นปีแต่ละภาคมีน้ำต้นทุนเกิน 80% ของความจุเขื่อน ซึ่งอยู่ใน
เกณฑ์น้ำมาก ประกอบกับระบายออกไปน้อย ทำให้ช่วงปลายปี แต่ละภาคยังคงมีน้ำกักเก็บคงเหลือในเขื่อนอยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลางถึงน้ำมากในทุกภาค รายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้
ภาคเหนือ มีปริมาณน้ำไหลลงสะสมตั้งแต่ต้นปี 13,576 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 4 รองจากปี 2565 2560 และ 2561 และมีการระบายน้ำมากถึง 15,261 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2561 และเป็นปริมาณน้ำระบายที่มากกว่าปริมาณน้ำไหลลงเขื่อน โดย ณ วันสิ้นปี มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 17,389 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 70% ของความจุเขื่อน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง ที่มีน้ำมากเป็นอันดับที่ 4 รองจากปี 2560 2565 และ 2561 โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 10,644 ล้านลูกบาศก์เมตร
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณน้ำไหลลงสะสมตั้งแต่ต้นปี 8,775 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 3 รองจากปี 2560 และ 2565 และมีการระบายน้ำไป 6,784 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 4 รองจากปี 2560 2565 และ 2561 และเป็นปริมาณน้ำระบายที่น้อยกว่าปริมาณน้ำไหลลงเขื่อน โดย ณ วันสิ้นปี มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 6,765 ล้านลูกบาศก์เมตร
คิดเป็น 81% ของความจุเขื่อน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำมาก ที่มากเป็นอันดับที่ 3 รองจากปี 2565 และ 2560 โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 5,115 ล้านลูกบาศก์เมตร
ภาคกลาง มีปริมาณน้ำไหลลงสะสมตั้งแต่ต้นปี 11,863 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 5 รองจากปี 2564 2561 2565 และ 2560 และมีการระบายน้ำออกไปเพียง 9,980 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งน้อยเป็นอันดับที่ 5 รองจากปี 2558 2559 2563 และ 2564 และเป็นปริมาณน้ำระบายที่น้อยกว่าปริมาณน้ำไหลลงเขื่อน โดย ณ วันสิ้นปี มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 23,142 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 83% ของความจุเขื่อน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำมาก ที่มากเป็นอันดับที่ 4 รองจากปี 2564 2561 และ 2560 โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 9,805 ล้านลูกบาศก์เมตร
ภาคตะวันออก มีปริมาณน้ำไหลลงสะสมตั้งแต่ต้นปีเพียง 987 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าน้อยมาก โดยน้อยเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2562 แต่มีการระบายน้ำออกไปมากถึง 1,235 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมาก
เป็นอันดับที่ 3 รองจากปี 2561 และ 2565 ซึ่งเป็นการระบายน้ำมากกว่าปริมาณน้ำไหลลงเขื่อน โดย ณ วันสิ้นปี มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 1,076 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 71% ของความจุเขื่อน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง ที่มีปริมาณน้ำมากเป็นอันดับที่ 5 รองจากปี 2565 2561 2564 และ 2560 โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 982 ล้านลูกบาศก์เมตร
ภาคใต้ มีปริมาณน้ำไหลลงสะสมตั้งแต่ต้นปี 5,779 ล้านลูกบาศก์เมตร มากเป็นอันดับที่ 5 รองจากปี 2561 2564 2565 และ 2560 โดยระบายน้ำออกไป 4,969 ล้านลูกบาศก์เมตร น้อยเป็นอันดับที่ 4 รองจากปี 2563 2559 และ 2558 ซึ่งเป็นปริมาณน้ำระบายที่น้อยกว่าปริมาณน้ำไหลลงเขื่อน โดย ณ วันสิ้นปี มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ 6,248 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 76% ของความจุเขื่อน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง ที่มีปริมาณน้ำมากเป็นอันดับที่ 5 รองจากปี 2557 2561 2564 และ 2548 โดยเป็นปริมาณน้ำใช้การได้จริง 4,538 ล้านลูกบาศก์เมตร
หากแบ่งเขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 35 แห่ง ที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ออกเป็นกลุ่มตามเกณฑ์ปริมาณน้ำกักเก็บของกรมชลประทาน สามารถแบ่งได้ดังนี้
เขื่อนที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือเกินความจุเขื่อน (มากกว่า 100% ของความจุเขื่อน มี 2 แห่ง ได้แก่ เขื่อนแม่งัด (107.91%) เขื่อนกิ่วคอหมา (107.51%)
เขื่อนที่มีปริมาณน้ำเก็บกักคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำมาก (มากกว่า 80-100% ของความจุเขื่อน) มีทั้งหมด 15 แห่ง ได้แก่ เขื่อนหนองปลาไหล (95.71%) เขื่อนกิ่วลม (90.79%) เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน (89.89%) เขื่อนลำปาว [89.77%)
เขื่อนนฤบดินทรจินดา (87.15%) เขื่อนแม่มอก (86.00%) เขื่อนบางลาง (85.93%) เขื่อนวชิราลงกรณ (85.35%) เขื่อนขุนด่านปราการชล [84.69%) เขื่อนปาสักชลสิทธิ์ (84.32%) เขื่อนประแสร์ (83.55%) เขื่อนอุบลรัตน์ (83.22%) เขื่อนศรีนครินทร์ (82.30%) เขื่อนสิรินธร (81.28%) เขื่อนจุฬาภรณ์ (80.07%)
เขื่อนที่มีปริมาณน้ำเก็บกักคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำปานกลาง (มากกว่า 50-80% ของความจุเขื่อน) มีทั้งหมด 14 แห่ง ได้แก่ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา (79.92%) เขื่อนน้ำพุง (78.79%) เขื่อนห้วยหลวง (78.61%) เขื่อนน้ำอูน (78.19%) เขื่อนรัชชประภา (77.98%) เขื่อนภูมิพล (74.09%) เขื่อนบางพระ (71.07%) เขื่อนลำพระเพลิง
(68.51%) เขื่อนลำนางรอง (61.17%) เขื่อนสิริกิติ์ (59.95%) เขื่อนแก่งกระจาน (59.50%) เขื่อนมูลบน (59.12%) เขื่อนลำตะคอง (57.83%) เขื่อนลำแซะ (53.49%)
เขื่อนที่มีปริมาณน้ำเก็บกักคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย (ตั้งแต่ 30-50% ของความจุเขื่อน) มีทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ เขื่อนปราณบุรี (45.86%) เขื่อนทับเสลา (44.79%) เขื่อนคลองสียัด (34.00%) เขื่อนกระเสียว (31.97%)
เขื่อนที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลืออยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยวิกฤต (น้อยกว่า 30% ของความจุเขื่อน) ปี 2565 ไม่มีเขื่อนใดที่มีปริมาณน้ำกักเก็บคงเหลือน้อยกว่า 30% ของความจุเขื่อน
ถึงแม้ตลอดปี 2566 จะมีน้ำไหลลงเขื่อนน้อยกว่าปี 2565 และก็ยังคงถือเป็นปริมาณน้ำที่ค่อนข้างมาก ทำให้เขื่อนส่วนใหญ่ยังคงมีน้ำกักเก็บคงเหลือค่อนข้างมาก โดยในช่วงปลายปี มีเขื่อนที่ปริมาณน้ำกักเก็บเกินความจุอยู่ 2 แห่ง เขื่อนที่มีปริมาณน้ำกักเก็บอยู่ในเกณฑ์น้ำมากถึง 15 แห่ง เกณฑ์น้ำปานกลางอีก 14 แห่ง เกณฑ์
น้ำน้อย 4 แห่ง และไม่มีเขื่อนใดเลยที่มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำน้อยวิกฤต
อย่างไรก็ตาม แม้ปริมาณฝนโดยภาพรวมของประเทศจะลดลงจากปี 2565 ค่อนข้างมาก แต่ในบางช่วงเวลาและบางพื้นที่ได้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมาก ส่งผลทำให้บางเขื่อนประสบกับสถานการณ์น้ำที่ต่างไปจาก
ปกติที่เคยเป็น รวมถึงมีตัวเลขปริมาณน้ำที่ทำลายสถิติในหลายเขื่อน โดยเฉพาะช่วงเดือนกันยายนที่เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ทางตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งส่งผลต่อเขื่อนต่าง ๆ ในพื้นที่ดังนี้
ห้วยหลวง จ.อุดรธานี – มีน้ำไหลลงเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเดือนกันยายน โดยในวันที่ 17 กันยายน 2566 เพียงวันเดียวมีน้ำไหลลงเขื่อนมากถึง 17.01 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำไหลลง
เขื่อนรายวันที่มากที่สุดและส่งผลทำให้ปริมาณน้ำไหลลงสะสมทั้งปีมากถึง 218.81 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากที่สุดหากเทียบกับข้อมูลย้อนหลังในรอบ 10 ปี และทำให้เขื่อนต้องระบายน้ำออกถึง 179.64 ล้านลูกบาศก์
เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำระบายที่มากที่สุดในรอบ 10 ปี เช่นกัน และหากเทียบกับข้อมูลปริมาณน้ำไหลเข้าและปริมาณน้ำระบายในรอบ 20 ปี ปี 2566 จะเป็นรองเพียงแค่ปี 2554 ที่เกิดอุกทกภัยรุนแรงเท่านั้น
เขื่อนภูมิพล จ.ตาก – อิทธิพลจากฝนที่ตกหนักในช่วงปลายเดือนกันยายน ส่งผลทำให้เขื่อนภูมิพลมีน้ำไหลลงเขื่อนค่อนข้างมาก โดยในวันที่ 2 ตุลาคม 2566 มีน้ำไหลลงเขื่อนมากถึง 204.31 ล้านลูกบาศก์เมตร และตลอดทั้งปีมีน้ำไหลลงเขื่อนรวมกันสูง
ถึง 6,627.92 ล้านลูกบาศ์เมตร ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 2 รองจากปี 2565 ทำให้ต้องระบายน้ำมากถึง 8,049 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นปริมาณน้ำระบายมากที่สุดหากเทียบกับข้อมูลในรอบ 10 ปี และหากเทียบปริมาณน้ำระบายในรอบ 20 ปี ปี 2566 จะ
เป็นรองเพียงแค่ปี 2555 เท่านั้น ซึ่งปี 2555 เป็นปีที่ต้องเร่งระบายน้ำ เนื่องจากปี 2554 มีน้ำไหลลงเขื่อนมากจนเกิดสถานการณ์น้ำล้นเขื่อนและต้องเร่งระบายผ่านทางน้ำล้น
เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก - อิทธิพลจากฝนที่ตกหนักในช่วงปลายเดือนกันยายน จนถึงต้นเดือนตุลาคม ส่งผลทำให้
เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนมีน้ำไหลลงเขื่อนค่อนข้างมาก โดยในวันที่ 7 ตุลาคม 2566 เพียงวันเดียวมีน้ำไหลลงเขื่อนมากถึง
77.51 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นน้ำไหลลงเขื่อนรายวันที่สูงที่สุดหากเทียบกับข้อมูลในรอบ 10 ปี
เขื่อนแม่มอก จ.ลำปาง - อิทธิพลจากฝนที่ตกหนักในช่วงปลายเดือนกันยายน ส่งผลทำให้เขื่อนแม่มอกมีน้ำไหลลงเขื่อนค่อนข้าง
มาก โดยในวันที่ 30 กันยายน 2566 เพียงวันเดียวมีน้ำไหลลงเขื่อนมากถึง 33.38 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นน้ำไหลลงเขื่อน
รายวันที่สูงที่สุดหากเทียบกับข้อมูลในอดีตตั้งแต่ปี 2561 ที่เริ่มมีการบันทึกข้อมูล
ปี 2566 ไม่ได้มีเฉพาะเหตุการณ์ฝนตกหนักที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่และบางช่วงเวลาเท่านั้น แต่มีบางพื้นที่ที่มีฝนตกน้อยด้วย โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกที่มีฝนตกน้อยกว่าปกติเกิดขึ้น ส่งผลทำให้เขื่อนคลองสียัด จ.ฉะเชิงเทรา มีน้ำไหลลงเขื่อน
เพียง 131.38 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งน้อยที่สุดหากเทียบกับข้อมูลในรอบ 10 ปี รวมถึงตอนบนของภาคใต้บริเวณจังหวัดสุราษรฎร์ธานีที่มีฝนตกน้อยด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้เขื่อนรัชชประภามีน้ำไหลลงเขื่อน
ค่อนข้างน้อย ทำให้มีการระบายน้ำค่อนข้างน้อยด้วยเช่นกัน โดยตลอดทั้งปีมีการระบายน้ำออกไปเพียง 1,779.77 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งน้อยที่สุดหากเทียบกับข้อมูลในรอบ 10 ปี